One moment in time แด่ชั่วขณะโมงยามอันงามงด

One moment in time
แด่ชั่วขณะโมงยามอันงามงด

กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์



วิทนีย์ ฮุสตัน (Whitney Houston) ชื่อนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเธอเป็นหนึ่งในตำนานนักร้องเพลงป๊อปทั้งในสหรัฐอเมริกาและระดับโลก น่าเสียดายที่เธอต้องจากไปก่อนวัยอันควรโดยเสียชีวิตที่ห้องพักในโรงแรมแถบแคลิฟอร์เนียด้วยสาเหตุการตายที่ดูไม่ดีนัก ถึงแม้ฉากจบของวิทนีย์จะไม่งดงามเท่าไหร่ แต่ความทรงจำที่ประทับอยู่ในใจมหาชนจากเพลงของเธอก็ยังคงงดงามและเปี่ยมความหมาย วิทนีย์กำเนิดในรัฐนิวเจอร์ซีย์ดังนั้นเธอจึงไม่ใช่คนนิวยอร์ค อย่างไรก็ตาม แม้เธอไม่ได้เป็น “นิวยอร์คเกอร์” แต่มีบางอย่างในบทเพลง ลีลา อารมณ์ และพลังชีวิตของวิทนีย์ที่สะท้อนความเป็น “อเมริกัน” ได้เป็นอย่างดี และบางทีการสัมผัสให้เห็นอะไรบางอย่างที่ว่านั้นได้ก็อาจจำเป็นต้องมองไปที่ “นิวยอร์ค

โศกนาฏกรรมเรื่องวิทนีย์ ฮุสตันนำพาผมย้อนกลับสู่อดีตเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ตัดสินใจพักการเล่นละครแล้วออกเดินทางท่องไปในถิ่นแยงกี้โดยไม่มีแผนการอะไรมากนัก ในตอนนั้น หลังจากผมไปถึงที่พักในเมืองบลูมิงตัน (Bloomington) รัฐอินดีแอนา (Indiana) ได้หนึ่งสัปดาห์กำหนดการเดินทางเที่ยวนิวยอร์คของคนรอบๆตัวในบลูมิงตันก็มาถึงพอดี พวกเขาบอกผมว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากมายเพราะน้องๆที่นิวยอร์ครอต้อนรับอยู่แล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมพลอยได้รับอานิสงค์ด้วยการติดสอยห้อยตามไปกินอยู่กับพวกเขาที่นิวยอร์คหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ

ตลอดเวลาที่อยู่นิวยอร์คนั้นครอบครัวของน้องโอซึ่งเป็นรุ่นน้องผมที่มหาวิทยาลัยได้พาผมกับผู้ร่วมคณะทัวร์ไปเยือนสถานที่ต่างๆในนิวยอร์คมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตึกเอ็มไพร์เสตต อาคารร็อคกีเฟลเลอร์เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลพาร์ค ไชนาทาวน์ เซาท์สตรีทซีพอร์ท สะพานบรุ๊คลิน สวนพฤกษศาสตร์บรุ๊คลิน ย่านวอลล์สตรีท ฟิฟท์อเวนิว ไทม์สแควร์ บรอดเวย์ พิพิธภัณฑ์ MoMA และ The Metropolitan Museum of Art รวมไปถึงร้านอาหารต่างๆมากมาย ซึ่งแต่ละที่ล้วนแล้วแต่น่าประทับใจทั้งสิ้น ถึงกระนั้นก็มิอาจกล่าวได้ว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกา เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาประเทศนี้ก็คงไม่รู้สึกติดค้างรุนแรงนักหากไม่ได้มาเยือนสถานที่ดังกล่าว แต่สำหรับ “เทพีเสรีภาพ” (Statue of Liberty) แล้วละก็ กล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่าอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นหมุดหมายบังคับซึ่งนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาตะลุยเมืองลุงแซมต้องมาเยือน ส่วนใครที่พลาดโอกาสมาเยี่ยมชมก็คงรู้สึกติดค้างใจอยู่ไม่น้อย


เหตุใดเทพีเสรีภาพจึงสำคัญขนาดนั้น คำอธิบายง่ายๆก็คืออนุสาวรีย์นี้เป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาที่จำง่ายและเป็นที่จดจำของชาวโลกในวงกว้างผ่านทางภาพยนตร์ ภาพข่าว สารคดี หรือหนังสือต่างๆ ภาพที่คุ้นเคยนี้ได้ส่งให้เทพีเสรีภาพเป็นมากกว่ารูปปั้นธรรมดาแต่ยังเป็นซุปเปอร์สตาร์อันโด่งดังอีกด้วย การที่นักท่องเที่ยวมีรูปคู่กับเทพีเสรีภาพบางครั้งจึงดูไม่ต่างอะไรจากการถ่ายรูปคู่กับไมเคิล แจ๊คสัน หรือดารานักร้องชื่อดังคนอื่นๆ ความรู้สึกนี้เกิดกับทุกคนที่มานิวยอร์ครวมทั้งผมด้วย สำหรับผมภาพแรกของเทพีปรากฏให้เห็นอยู่ไกลลิบในตอนที่เครื่องบินลอยผ่านน่านฟ้าของเมืองก่อนร่อนลงจอดที่สนามบินเจเอฟเค ไม่นานหลังจากนั้นผมเห็นเทพีในระยะไกลอีกครั้งขณะรถยนต์ของครอบครัวโอกำลังขับเคลื่อนพาผมเข้าสู่ดาวน์ทาวน์ ทุกวันนี้ผมยังคงจำความรู้สึกนั้นได้ดีว่าตื่นเต้นจนขนลุกขึ้นมาเบาๆ

ในวันที่สองของการเป็นอาคันตุกะเมืองนิวยอร์ค ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสกับเทพีเสรีภาพในระยะประชิด เทพีเสรีภาพในสายตาของผมดูเล็กกว่าที่จินตนาการไว้ตอนเด็กๆ แต่เพื่อนร่วมคณะบางคนอุทานว่าช่างใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก ดูท่าว่าเทพีจะใหญ่เล็กแค่ไหนก็อยู่ที่ความคาดหวังก่อนหน้ามาถึงของนักท่องเที่ยวแต่ละคนด้วย เทพีนี้มีสีเขียวทั่วทั้งตัวเพราะเป็นสีของสนิมทองแดงจึงทำให้คนไทยหลายคนที่อาศัยอยู่นิวยอร์คเรียกเป็นชื่อเล่นที่ฟังดูตลกๆว่า “ป้าเขียว” แต่นามที่แท้จริงของเทพีนั้นไม่ได้ตลกขบขันอย่างนั้น เธอมีชื่อซึ่งฟังดูขรึมขลังเปี่ยมอุดมการณ์ว่า “Liberty Enlightening the World” (เสรีภาพส่องสว่างโลก) อนุสาวรีย์ขนาดมหึมาผลงานของศิลปินชาวฝรั่งเศส Frédéric-Auguste Bartholdi นี้ได้รับการสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 1886 ในฐานะของขวัญที่สหรัฐอเมริกาได้รับมอบจากฝรั่งเศสในวาระโอกาสครบรอบหนึ่งร้อยปีของการก่อตั้งประเทศ ตัวรูปปั้นมีความสูง 93 เมตรยืนอยู่บนฐานหินที่เดิมเป็นกำแพงของป้อมโบราณ มือข้างซ้ายถือคบเพลิงที่มีเปลวไฟทองคำ 24 กะรัต ขณะที่มือข้างขวาถือหนังสือที่จารึกเป็นภาษาลาตินว่า “July 4, 1776” ซึ่งก็คือวันชาติสหรัฐอเมริกา ส่วนรัศมีของมงกุฎนั้นเป็นตัวแทนแห่งทะเลและทวีปทั้งเจ็ดนั่นเอง


วิธีการเดินทางมาชมเทพีเสรีภาพนั้นทำได้ไม่ยาก โดยการซื้อตั๋วเรือเฟอร์รี่ราคา 11.50 ดอลลาร์ซึ่งพานักท่องเที่ยวออกจากท่าเรือ Battery Park มุ่งตรงไปสู่เกาะ Liberty อันเป็นที่ตั้งของเทพีเสรีภาพนั่นเอง เรือนี้มีรอบโดยสารทุก 30 นาทีตั้งแต่ช่วงสายจนถึงช่วงบ่าย (9:30-5:30 น.) จอดแวะให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมทั้งเกาะ Liberty และเกาะใกล้เคียงซึ่งแต่เดิมเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองอันมีชื่อว่าเกาะ Ellis ด้วย จุดที่ขายตั๋วเรืออยู่ตรงป้อมเก่าแก่ชื่อว่า Castle Clinton ราคาตั๋วดังกล่าวนี้ครอบคลุมการเดินทางไป-กลับจากท่าเรือ Battery Park สู่เกาะ Liberty และเกาะ Ellis จนกระทั่งกลับมายังจุดเดิมที่ท่าเรือในที่สุด การเที่ยวชมเทพีเสรีภาพอีกทางหนึ่งก็คือนั่งเรือเฟอร์รี่ที่มุ่งไปเกาะ Staten เรือโดยสารสายนี้ไม่ต้องเสียค่าบริการใดๆแต่นักท่องเที่ยวจะได้แต่ชมทัศนียภาพของเทพีเสรีภาพเพียงผ่านๆเท่านั้น เนื่องจากเรือเฟอร์รี่สายนี้ไม่ได้จอดแวะที่เกาะ ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://www.nywatertaxi.com/  www.circlelinedowntown.com


ผมใช้เวลาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาสี่เดือนจึงกลับเมืองไทย ในสี่เดือนนี้ผมอยู่ที่นิวยอร์คเพียงหนึ่งสัปดาห์ และใช้เวลาไปกับเทพีเสรีภาพเพียงครึ่งวันเท่านั้น แต่แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆซึ่งนับจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมานานแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับเทพีเสรีภาพก็ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผมไม่เสื่อมคลาย จะว่าเพราะความสวยสดงดงามของสถาปัตยกรรมหรือวิวทิวทัศน์น่าประทับใจก็คงไม่ใช่ หรือว่าจะเพราะความเด่นดังราวซุปเปอร์สตาร์แบบที่เกริ่นเอาไว้ตอนต้นก็ดูไม่มีน้ำหนักขนาดนั้น ในทัศนะของผม ปัจจัยที่กล่าวมาอาจเป็นจุดเด่นของเทพีเสรีภาพก็จริงแต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือสลักสำคัญเท่ากับความหมายของเทพีที่ส่งรัศมีเข้ามาประทับอยู่ในใจคน นั่นคือการเป็นแสงส่องประกายความหวังและความใฝ่ฝันให้กับผู้คนที่ดั้นด้นมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่



จริงอยู่ที่ทุกวันนี้ ใครที่หมายมั่นเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือมุ่งแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าจะเดินทางมาเสี่ยงโชคยังดินแดนแห่งเสรีภาพทางเครื่องบินเป็นหลัก แต่หากย้อนไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ผู้คนเกือบร้อยทั้งร้อยที่ดั้นด้นมาถึงประเทศใหม่นี้ต่างก็อาศัยการรอนแรมทางเรือมาจากยุโรป ผ่านความยากลำบากอย่างยาวนาน ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งเสี่ยงภัย ผู้คนจำนวนไม่น้อยไร้ทรัพย์สินใดๆติดตัว พวกเขามายังแผ่นดินแห่งนี้โดยพร้อมตายเอาดาบหน้า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราพบเห็นเรื่องราวทำนองนี้มามากในรูปแบบที่ต่างกันไป มีคนอย่าง Joseph Donnelly กับ Shannon Christie จากภาพยนตร์เรื่อง Far and Away ที่มาลงหลักปักฐานชีวิตยัง โลก” ใหม่นี้ มีคนอย่าง XiaoJun Li จากเรื่อง Comrades : Almost a Love Story หรือหญิงสาวอย่างไอจากเรื่องกุมภาพันธ์ที่หนีพิษรักมาพักฟื้นใจและสร้างชีวิตใหม่ ระหว่างช่วงยาวของสายธารแห่งเวลาที่ไหลไปเรื่อยๆเทพีเสรีภาพยังคงยืนเด่นตระหง่านอยู่ ณ จุดเดิม เพ่งมองนักเดินทางร้อยพ่อพันธุ์แม่ผ่านไปผ่านมายังปากอ่าวเข้าสู่มหานครนิวยอร์ค บางคนล้มหายตายจากไปพร้อมกับความล้มเหลวที่หนักหน่วงกว่าเดิม ขณะที่บางคนลืมตาอ้าปากได้และพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต ทั้งนี้ก็ด้วยพื้นฐานว่าที่นี่คือประตูสู่การเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ครั้นจะสดใสหรือขุ่นมัวก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนผู้นั้นจะถากถางหนทางเอาเอง เทพีเพียงแต่ชูคบเพลิงขึ้นสูงเสียดฟ้าบอกว่าที่นี่มีเสรีภาพ หากทว่าเป็นเสรีภาพที่ไม่ได้หมายความว่าใครจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ แต่เป็นเสรีภาพในการเลือกและกำหนดทางเดินชีวิตของตนตามความใฝ่ฝันอันแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน



เมื่อความตายมาเยือนวิทนีย์นั้น สิ่งที่บังเกิดขึ้นแก่ใจของผมรุนแรงไม่น้อยไปกว่าความทรงจำเกี่ยวกับนิวยอร์คที่ไหลบ่าออกมาก็คือความรู้สึกที่ว่ามีอะไรบางอย่างในบทเพลง ลีลา อารมณ์ และพลังชีวิตของวิทนีย์ที่สะท้อนความเป็น “อเมริกัน” ได้เป็นอย่างดี และบางทีการสัมผัสให้เห็นอะไรบางอย่างที่ว่านั้นได้ก็อาจจำเป็นต้องมองไปที่ “นิวยอร์ค ผมค้นหาเพลงของเธอขึ้นมาฟังอีกครั้ง เลือกบทเพลงที่ผมโปรดปรานซึ่งจู่ๆก็ส่งเสียงแว่วเข้ามาในห้วงคำนึง บทเพลงที่มีชื่อว่า One Moment in Time 

“… I want one moment in time, When I'm more than I thought I could be, When all of my dreams are a heartbeat away, And the answers are all up to me…”

ร่างของนักร้องผิวสีผู้นี้สลายผุพังไปแล้วตามธรรมชาติแต่บทเพลงยังคงก้องอยู่ต่อไป เหนือสิ่งอื่นใดก็คือจิตวิญญาณเสรีที่หาญกล้าต่อสู้กับภยันตรายเพื่อบรรลุฝันของตนโดยไม่พรั่นพรึงต่ออุปสรรคขวากหนามนั้นได้เปล่งแสงแรงกล้าแบบเดียวกับที่โคมไฟของเทพีส่องประกายอยู่กลางเวิ้งฟ้าโหมเพลิงแห่งความหวังให้คุโชนอยู่ในใจของนักแสวงโชคที่เพิ่งเดินทางมาถึง One Moment in Time ในผืนดินแห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่บทเพลงป๊อปๆที่ใครก็รู้จัก แต่เป็นดั่งบทกวีของนักแสวงหาทุกผู้ทุกนามที่พุ่งทะยานไปข้างหน้า มุ่งไขว่คว้า “ชั่วขณะโมงยามอันงามงด” ให้กับชีวิตที่มุ่งหมาย

“…Give me one moment in time, When I'm racing with destiny, Then in that on moment of time , I will feel, I will feel eternity...” 



เสียงทรงพลังของวิทนีย์ยังคงเปล่งร้องก้องกังวานอยู่ต่อไปทั่วทั้งเจ็ดทะเลและเจ็ดทวีป เช่นเดียวกับแสงส่องสว่างจากคบไฟในมือของเทพีเสรีภาพที่เรืองรองฉายสู่ฟากฟ้า โดยไม่ยี่หระเลยว่าผู้คนมากมายมหาศาลยังคงท้อแท้ล้มเลิกไฟฝันของตน

และหันหลังให้กับการไขว่คว้า “one moment in time” เสียก่อนที่ชีวิตจะแดดิ้นเสียอีก

                                                       กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์
email : krit.bloomingtonbook@gmail.com

เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร GO Magazine

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อสรพิษ : ผู้ยอมจำนนคือคนที่ตายแล้ว

ปรัชญาตายแล้ว? ประวัติศาสตร์ปรัชญา ฉบับกะทัดรัด

ศิลปะเพื่อประชาชนบนโลกเสมือนจริง