ความทรงจำของนายพลนากามูระ – ความทรงจำของข้าพเจ้า
ความทรงจำของนายพลนากามูระ
–
ความทรงจำของข้าพเจ้า
กฤตภาศ
ศักดิษฐานนท์
หนังสือ “ความทรงจำของนายพลนากามูระ”
มีชื่อเต็มๆว่า “ผู้บัญชาการชาวพุทธ
ความทรงจำของนายพลนากามูระเกี่ยวกับเมืองไทยสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา”
ได้รับการตีพิมพ์ในภาคภาษาไทยครั้งแรกตั้งแต่เมื่อประมาณสิบปีก่อนคือ พ.ศ. 2534
โดยโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ต่อมาสำนักพิมพ์มติชนได้นำมาพิมพ์ซ้ำเมื่อปี
2546 และครั้งล่าสุดคือฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง (2555) เนื้อหาทั้งหมดของหนังสือคือบันทึกของ
“นายพลอาเคโตะ นากามูระ” ผู้ดำรงตำแหน่ง
“ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2486 จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดแล้วท่านก็ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอีก
รวมเวลาทั้งหมดในหน้าที่ได้สามปีสามเดือน
ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวนายพลนากามูระได้บันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ค่อนข้างละเอียด แต่น่าเสียดายที่บันทึกนั้นถูกทหารอังกฤษยึดไปหลังสงครามและสูญหายไปในที่สุด
หลังจากนั้นอีกหลายปีเขาจึงได้ทำการดึงความทรงจำเหล่านั้นกลับมาใหม่
จนกลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้ในที่สุด
บันทึกความทรงจำนี้ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาญี่ปุ่น
ต่อมาศาสตราจารย์ “เออิจิ มูราชิมา” แห่งมหาวิทยาลัยวาเซดะกับ “ศาสตราจารย์นครินทร์
เมฆไตรรัตน์” แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ร่วมมือกันแปลบันทึกนี้เป็นภาษาไทยได้สำเร็จ
ซึ่งถือเป็นผลงานที่มีคุณูปการสำคัญครั้งหนึ่งต่อแวดวงวิชาการไทย โครงสร้างของหนังสือประกอบไปด้วยบทต่างๆ
35
บท ซึ่งมีเนื้อหาจบในตอน
แต่ขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงต่อกันตามที่เป็นการบอกเล่าจากความทรงจำของบุคคลผู้เดียว
การลำดับเรื่องราวโดยส่วนใหญ่จะเรียงตามเวลาจากก่อนไปหลัง แต่ก็ไม่เสมอไป
บางครั้งผู้เขียนนึกไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น บางทีก็นึกต่อไปไกลจากจุดที่กำลังเล่าอยู่
ฉะนั้น
จึงเห็นเหตุการณ์บางเหตุการณ์กระโดดไปกระโดดมาไม่ได้เรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบเสียทีเดียว
หากพิจารณาตามสภาพสถานการณ์ของการปฏิบัติงานของผู้เขียน
ก็พอจะทำให้หนังสือเล่มนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นสามส่วน
หนึ่งคือส่วนที่ผู้เขียนเริ่มต้นการดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการประจำประเทศไทย ซึ่ง ณ
ขณะนั้นยังไม่มีทีท่าว่าญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้สงคราม สองคือหลังสถานการณ์พลิกผันอันเนื่องมาจากความปราชัยในยุทธนาวีที่มิดเวย์
ตลอดจนสมรภูมิอื่นๆในแปซิฟิค
และสามคือเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงอย่างเป็นทางการโดยสมเด็จพระจักรพรรดิทรงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขหลังความสูญเสียยับเยินจากระเบิดปรมาณูทั้งสองลูก
ทั้งสามส่วนนี้มีผลสะเทือนอย่างมากต่อสภาวะจิตใจของผู้เขียน
จึงทำให้ลักษณะของงานเขียนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญทั้งในส่วนของข้อมูลและสภาพอารมณ์
หนังสือซึ่งมีความยาว
287
หน้าเล่มนี้มีความสำคัญในระดับ “ต้องอ่าน” ในหลายๆมิติ ทั้งยังมีรายละเอียดยิบย่อยที่น่าสนใจจำนวนมากจนไม่สามารถยกมากล่าวในที่นี้ได้หมด
โดยทั่วไปแล้วบันทึกนี้ถูกมองจากผู้คนในแวดวงของสาขาวิชาประวัติศาสตร์ว่าเป็นข้อมูลปฐมภูมิที่เป็นประหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ช่วยประกอบภาพประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองให้ชัดเจนและใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
ทั้งยังได้เห็นมิติความเป็นมนุษย์ที่มักไม่มีข้อมูลให้ได้อ่านนัก
ทั้งของบุคคลสำคัญฝ่ายไทย ญี่ปุ่น และอังกฤษ อย่างเช่น จอมพลเทราอูจิ
นายกรัฐมนตรีควง อภัยวงศ์ พล.ต. อีแวนซ์ พล.ท.ฮามาดะ ฯลฯ
นอกจากนั้นข้อมูลบางส่วนเป็นสิ่งที่สนับสนุนคำอธิบายเดิมให้มีน้ำหนักมากกว่าเก่า
เช่น ความกระอักกระอ่วนใจของจอมพล ป. พิบูลสงครามในการเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ
และการทำสงครามใต้ดินระหว่างฝ่ายญี่ปุ่นกับเสรีไทยภายใต้การนำของบุคคลระดับสูงของทางการไทยอย่างปรีดี
พนมยงค์ (ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
(อัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา) พล.ต.อ. อดุล อดุลเดชจรัส (อธิบดีกรมตำรวจ)
ซึ่งนายพลนากามูระทราบความเคลื่อนไหวของทั้งสามคนนี้พอสมควร
ถึงขนาดที่เรียกทั้งสามว่าเป็น “ดาวหางใหญ่สามดวงของประเทศไทย”
ขณะที่บางส่วนก็ไปโต้แย้งความเชื่อและคำอธิบายเดิม
เช่น มิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสามคนคือนายพลนากามูระ ยามาโมโตะ (เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย)
และนายกฯควง อภัยวงศ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่น
มีการจัดเลี้ยงเพื่อพบปะสนทนากันในวันที่ 10 ของทุกเดือน
ความประทับใจในปูชนียสถานและการให้ความสำคัญแก่วัฒนธรรมไทยของนายพลโตโจ
อันมีผลให้ญี่ปุ่นส่งเครื่องบินรบฮายาบูซ่า 21 ลำมาให้กองทัพไทย
หรือข้อเท็จจริงของพ.อ. มาซาโนบุ ทสุจิ เสนาธิการผู้มีภาพลักษณ์ราวปีศาจร้ายในงานของชาวตะวันตก
เช่นที่ปรากฏในหนังสือ “แหกค่ายนรกบาตาน” (Ghost Soldiers) ของ
Hampton Sides
ว่าอันที่จริงแล้วเขาอาจไม่ใช่ปีศาจร้ายที่ปราศจากหัวใจอย่างที่ฝ่ายสัมพันธมิตรคิด
อย่างไรก็ตาม
การที่หนังสือเล่มนี้ได้รับการพูดถึงในมิติของความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากที่ไม่ใคร่สนใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นักต้องพลาดการอ่านหนังสือเล่มนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
อันที่จริงหนังสือเล่มนี้เป็นมากกว่าบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ในสายตาข้าพเจ้า(และเชื่อว่าคนอื่นๆก็เช่นกัน)มองหนังสือเล่มนี้เป็นงานเขียนประเภทอื่นด้วย
อาจเรียกได้ว่านี่คือวรรณกรรมชิ้นหนึ่งอันมีวรรณศิลป์สวยงาม มีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจ
และมีหลายครั้งที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกหวั่นไหวอยู่ลึกๆราวกับกำลังอ่านนวนิยายที่น่าสะเทือนใจเรื่องหนึ่งซึ่งเห็นความยอกย้อนของชะตาชีวิต
เห็นมิตรภาพ ความกตัญญู ความผูกพัน การพบเจอ การจากพราก ความเศร้าโศก ความเปราะบาง
การต่อสู้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น การไว้ชีวิตเด็กชายชายแซ่ลี้(หน้า 157-158)
การรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ของทหารคนหนึ่งจากเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ชายแดนไทย-พม่า(หน้า 31-33) ความรับผิดชอบของพล.ท. ฮามาดะ
ความขันขื่นของชีวิตนักรบ(นายพลเพอร์ซิวาลกับนายพลยามาชิตะ) ความผูกพันระหว่างคนกับม้า(นายพลนากามูระกับซูอิโต)
มิตรภาพระหว่างศัตรู(นากามูระกับ พ.ท. เกรย์) ภาพที่ดูขัดกับท่วงท่านักรบของคณะละครท็อปปะซาในการควบคุมของร้อยโทโยชิมูระ
ละครชีวิตของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ความอาลัยอาวรณ์ที่นากามูระมีต่อโตโจ เป็นต้น
ตัวอย่างที่น่าประทับใจตอนหนึ่งในหนังสือก็คือความซาบซึ้งของนากามูระที่มีต่อน้ำใจคนไทยซึ่งปรากฏอยู่ในบทที่
26
“ไมตรีจิตจากคนไทยหลังแพ้สงคราม” หน้า 200
เรื่อง “คุณยายผู้ให้กล้วย” ในตอนนี้นากามูระได้ย้อนระลึกไปถึงเหตุการณ์ที่นายกฯควง
อภัยวงศ์จัดงานเลี้ยงอำลาให้กับชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย เขาเขียนไว้ในหนังสือว่า “มีความทรงจำที่ข้าพเจ้าลืมไม่ได้ตลอดชีวิตนี้อยู่เรื่องหนึ่ง...
ในงานเลี้ยงวันนั้น นายกฯควง อภัยวงศ์ได้กล่าวสุนทรพจน์มีใจความว่า
รู้สึกเห็นใจอย่างลึกซึ้งในการพ่ายแพ้ครั้งนี้ และหวังอย่างจริงใจว่าจะมีการฟื้นฟูชาติโดยเร็ว
พวกข้าพเจ้ารับฟังคำกล่าวนั้นอย่างมีความประทับใจจากส่วนลึกของจิตใจ
ข้าพเจ้าทราบว่าความสัมพันธไมตรีอย่างแท้จริงนั้นเป็นแสงสว่างที่ไม่เกี่ยวกับการแพ้ชนะ...
ในช่วงหลังสงคราม
ผู้หญิงชราขายกล้วยได้ใส่กล้วยให้ในย่ามของทหารญี่ปุ่นผู้ซึ่งอิดโรยในตอนเดินทางกลับจากการถูกเกณฑ์แรงงานโดยที่ไม่เสียดายสินค้าที่สามารถขายได้ในวันนั้นเลย...
เรื่องแบบนี้มีให้เห็นเกือบทุกวัน”
ยิ่งกว่านั้น
ข้าพเจ้าเชื่อว่าคติธรรมประจำใจหลายอย่างตามวิถีบูชิโดสามารถสะกิดมโนสำนึกในใจผู้อ่านได้ไม่ยาก
และนั่นก็ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นอะไรที่มากกว่าบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์
สำนึกความรับผิดชอบที่ปรากฏอยู่มากในเล่มกระทุ้งเตือนจิตสำนึกผู้อ่านได้ไม่น้อย เช่นในหน้า
196
นากามูระยกคำสอนของบูชิโดที่ว่า “อย่าแพ้อย่างน่าเกลียด
และเมื่อเป็นนกที่จะบินขึ้นจากน้ำก็ต้องพยายามทำน้ำไม่ให้ขุ่น” อันหมายถึงความรับผิดชอบในการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างองอาจ
การคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้กลับสู่สภาพปกติโดยไม่ปล่อยทิ้งไว้เป็นภาระของผู้อื่น
และจัดการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหนึ่งแสนห้าหมื่นคนได้เดินทางกลับคืนเรือนโดยสวัสดิภาพ
มิตรสหายบางท่านเปรยกับข้าพเจ้าว่าไม่มีความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์
พวกเขามองว่าเป็นเรื่องไกลตัวที่หามีความเกี่ยวพันอันใดกับชีวิตของเขาไม่
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องอ่านงานทำนองนี้
แต่ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าวนัก ตรงกันข้าม
ข้าพเจ้าเห็นว่าประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับเราโดยตรงและไม่ได้เป็นสิ่งที่ไกลตัวอย่างที่หลายๆคนคิด
เมื่อครั้งยังเยาว์วัย
ข้าพเจ้ามีความทรงจำสองอย่างซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวพันกันเลย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปีข้าพเจ้าก็พบว่าสองอย่างนี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง
เรื่องแรกคือประสบการณ์ชีวิตที่พระตะบองของปู่ซึ่งปัจจุบันท่านได้ล่วงลับไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ออกจะดูน่าพิศวงอยู่เหมือนกัน
ปู่เคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าสมัยหนุ่มๆก่อนที่ท่านจะเข้ามารับราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยนั้นท่านได้เคยเป็นทหารมาก่อนโดยมีพื้นที่ปฏิบัติราชการอยู่ในพระตะบอง
ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลบูรพาแห่งราชอาณาจักรสยามตามที่ไทยได้ทำการรบกับฝรั่งเศสและท้ายที่สุดจึงได้เสียมราฐ
พระตะบอง ศรีโสภณ ของฝรั่งเศส รวมทั้งหลวงพระบางและจำปาศักดิ์มาอยู่ในอาณัติ ภายใต้การเจรจาไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่นตามอนุสัญญาโตเกียว
เมื่อปี 2484
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ในภาพใหญ่โลกกำลังปั่นป่วนไปด้วยการห้ำหั่นกันระหว่างประเทศ
ภาพเล็กลงมาบังเกิดความพลิกผันทางการเมืองในระดับรัฐ
ยังผลให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจากจอมพล ป.
พิบูลสงครามมาสู่หนุ่มใหญ่จากตระกูลเก่าแก่ที่บริหารราชการเมืองพระตะบองมาอย่างยาวนานนาม
“ควง อภัยวงศ์” ในระดับที่เล็กที่สุด ทหารหนุ่มผู้หนึ่ง(ปู่ของข้าพเจ้า)กำลังโลดโผนผจญภัยตามคำสั่งของกองทัพไทยอยู่ต่างที่ต่างถิ่นอันเป็นดินแดนที่รัฐเพิ่งผนวกเข้ามาใหม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าชะตาชีวิตเหล่านี้เป็นผลสืบเนื่องตามเหตุและปัจจัยต่างๆที่ข้องเกี่ยวกันมาเป็นลำดับ
ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงโดยฝ่ายอักษะเป็นผู้ปราชัย
ไทยได้กลับท่าทีมาทางฝ่ายสัมพันธมิตรและแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังตกมาเป็นผู้พ่ายแพ้ไปได้อย่างหวุดหวิด
ผลจากความผันผวนของสงครามและการเมืองทำให้ไทยต้องคืนดินแดนที่ได้มาทั้งหมดในระหว่างสงครามกลับไปที่เจ้าอาณานิคมตามเดิม
และนั่นทำให้ปู่ต้องเดินทางกลับบ้านโดยรถไฟ จริงๆแล้วบ้านของท่านอยู่ที่ชัยภูมิ
แต่ด้วยเหตุที่ต้องกลับมารายงานตัวกับต้นสังกัดที่นครราชสีมา
จึงทำให้ปู่มาเจอกับย่าโดยบังเอิญ กระทั่งครองรักกันในที่สุด
กล่าวได้ว่าหากไม่มีสงครามโลก ไม่มีกองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทย ไม่มีจอมพล ป.
พิบูลสงครามกับนายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงไม่มีพ่อของข้าพเจ้า
และย่อมไม่มีข้าพเจ้าถือกำเนิดขึ้นด้วย
ความทรงจำเรื่องที่สองก็คือ
การสถาปนาอนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงครามขึ้นที่ละแวกบ้านของข้าพเจ้าในอำเภอพระพุทธบาท
จ.สระบุรี เหตุการณ์นั้นทำให้ข้าพเจ้าเกิดการตั้งคำถามครั้งใหญ่ถึงที่มาที่ไปของโลกรอบตัว
ความสงสัยที่ว่าบุคคลผู้นี้เกี่ยวพันกับบ้านของข้าพเจ้าอย่างไร
นำไปสู่ชุดคำถามจำนวนมากที่ทุกวันนี้ก็ยังตอบตัวเองได้ไม่หมด
ระหว่างทางของการหาคำตอบ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าเมืองพระพุทธบาทกว่าครึ่งค่อนก่อกำเนิดขึ้นตามดำริของจอมพล
ป. (นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท)
ชื่อของโรงเรียนที่เคยไปศึกษาในช่วงมัธยมปลายก็มาจากชื่อของจอมพล ป.
(พิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี) ชื่อโรงภาพยนตร์ที่สะกดชื่อพิลึกว่า “ภาพยนต์ทหานบก”
ก็เนื่องจากเป็นภาษาไทยตามแบบที่ใช้กันในสมัยจอมพล ป. เป็นนายกฯ ฯลฯ
ข้อเท็จจริงสารพัดสารพันที่ได้พบเจอทำให้เห็นว่ามรดกของชายผู้นี้มีอยู่มากกว่าที่คนทั่วไปคิดและอยู่รอบตัวเต็มไปหมด
การทำความเข้าใจบุคคลผู้มีประวัติอันน่าตื่นตะลึง เจ้าของสมญานาม “แมวเก้าชีวิต”
“นายกตลอดกาล” จอมพลกระดูกเหล็ก” ฯลฯ เช่นนี้ไม่ง่ายเลย แต่ภาพที่ดูยุ่งเหยิงซับซ้อนจะกระจ่างขึ้น
เห็นมิติอื่นของความเป็นมนุษย์มากขึ้นเมื่อได้อ่านข้อมูลหลายส่วนจากหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มนี้
มีความทรงจำมากมายในชีวิตที่เมื่อเราสืบค้นที่มาที่ไปแล้ว
ก็ทำให้เกิดความน่าฉงนของสายใยระโยงระยางอันพันรัดบุคคลที่ดูเหมือนไม่มีวันเกี่ยวข้องให้กลายมาเป็นผู้เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันได้
ชะตากรรมของบุคคลผู้หนึ่งได้ก่อผลสะเทือนสู่ชะตากรรมของบุคคลอีกผู้หนึ่งแม้ว่าบุคคลทั้งสองจะไม่เคยพบหน้าค่าตากันเลยก็ตาม
มองในแง่นี้ประวัติศาสตร์ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นไกลแต่คือเรื่องของทุกคนบนโลกกว้างที่ย่อมเกี่ยวพันกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หรือไม่วันใดก็วันหนึ่ง อันมีผลให้เกิดบางอย่างกับชีวิตนั้นๆและนำไปสู่พฤติกรรมมากมายที่กระทบกันไปเป็นลูกโซ่
กล่าวให้ง่ายก็คือประวัติศาสตร์และชีวิตผู้คนนั้นไม่เคยแยกขาดจากกันเลย แต่ประวัติศาสตร์คือการตัดตอนฉากหนึ่งของชีวิตทั้งมวลออกมาเป็นส่วนๆ
ทว่าจะเข้าใจแต่ละส่วนได้ก็โดยอาศัยการเชื่อมโยงไปสู่ส่วนอื่นเสมอ
การทำความเข้าใจนากามูระก็โดยผ่านข้อมูลบางส่วนของจอมพล ป. เข้าใจจอมพล ป.
ก็ด้วยเข้าใจนากามูระ ส่วนต่างๆจะร้อยเรียงต่อกันกระทั่งไปสู่ควง อภัยวงศ์
สู่ปู่ของข้าพเจ้า และสู่ตัวข้าพเจ้าเองในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ความพยายามเข้าใจภาพใหญ่ของประวัติศาสตร์ก็คือการเข้าสู่ความเข้าใจในภาพเล็ก
เข้าใจภาพเล็กก็เข้าใจภาพใหญ่ เข้าใจโลกเพื่อเข้าใจชีวิต
เข้าใจชีวิตทำให้เข้าใจโลก ดังนั้น ทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว
แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว หรือจะกล่าวให้ชัดกว่านี้คือมันเป็นเรื่องเดียวกัน เสมือนช้างตัวหนึ่งมิอาจแยกขาดจากผืนป่าที่มันอาศัยอยู่
ส่วนถ้าใครจะมองไม่เห็นความสัมพันธ์นี้ ก็ไม่ใช่เพราะมันไม่มีอยู่ เพียงแต่อาจเป็นเพราะว่า
เขาไม่เคยครุ่นคิดถึงความเป็นไปของมันเลยต่างหาก
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกใน openworls
http://openworlds.in.th/2013/03/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1/
http://openworlds.in.th/2013/03/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1/
กฤตภาศ
ศักดิษฐานนท์
Krittapas
Sakdidtanon
krit.bloomingtonbook@gmail.com
instagram : krit_krittapas
twitter :
@kritkrittapas
Youtube: Krittapas Channel
Youtube: Krittapas Channel
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น